Happy & Sad

Happy & Sad

วันพุธที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2554

~ M.O.V.E. การเคลื่อนที่ ~

ถ้าพูดถึงคำว่าMove หลายๆคนคงจะนึกถึง
การเคลื่อนย้ายของสิ่งหนึ่งจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่ง
อาจจะต้องใช้เวลา อาจจะเฉื่อยชา หรืออาจจะเร็วในระดับหนึ่ง
แต่ถ้าได้มาดูคลิปวีดีโอ Move อันนี้แล้ว
มันกลับทำให้คำว่า Move เพียงคำเดียวดูมีคุณค่าขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก
มาลองดูกันก่อนดีกว่า ว่า Move ของเขาเป็นอย่างไร


3 guys, 44 days, 11 countries, 18 flights, 38 thousand miles, 
an exploding volcano, 2 cameras 
and almost a terabyte of footage... 
all to turn 3 ambitious linear concepts 
based on movement, learning and food ....
into 3 beautiful and hopefully compelling short films.....

= a trip of a lifetime.

การ Move อย่างตลอดเวลาในเวลาเพียง 1 นาที
มันทำให้การMoveเหล่านั้นดูเป็นสิ่งที่สำคัญ ดูเป็นสิ่งที่น่าค้นหา
และดูเป็นสิ่งที่...สวยงาม
เป็นเสมือนตัวกระตุ้นให้เราอยากที่จะลุกขึ้นมา
ทำอะไรต่อมิอะไรที่เราคิดอยากจะทำ
แต่ไม่เคยเริ่มต้นที่จะทำซักที
เพราะตัวอย่างของความพยายามของเจ้าของคลิปนี้
กว่าจะเดินทางไปถ่ายในแต่ละประเทศได้
ต้องใช้ความพยายาม และใส่ความรักความชื่นชอบในสิ่งนั้นๆลงไป
ซึ่งสำหรับเขาก็คือ การเดินทาง นั่นเอง

ตัวภาพอาจไม่ได้มีอะไรพิเศษมากมายเท่าไร
แต่เป็นการเลือกสถานที่ที่สื่อถึงแต่ละประเทศได้ดี
ถือว่าเลือกมุมได้อย่างคุ้มค่ากับการไปประเทศนั้นๆ
บวกกับการตัดต่อในจังหวะอันรวดเร็ว
และเปลี่ยนให้มันต่อเนื่องกันโดยการเดินเท้าของเจ้าของคลิปนี้
ทำให้คลิป Move นี้ดูมีการเคลื่อนไหว
และกระตุ้นให้เรามีชีวิตชีวิตอยากที่จะลุกขึ้นมาอยู่ตลอดเวลา

ขอบคุณในความพยายามของเจ้าของคลิป 
ที่ช่วยกระตุ้นให้คนเฉยชาอย่างเราๆ 
คิดจะลุกขึ้นมาทำตามฝันของตัวเองบ้างแล้ว :')

วันอังคารที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2554

~ เ ห ง า ... A L O N E ~

ด้วยความที่เป็นคนดราม่าเป็นชีวิตจิตใจ
จนเหมือนอยู่ในสายเลือด
ก็เลยชอบดูภาพดราม่าเรื่อยๆ
แบบเหงาๆ อยู่คนเดียว อะไรประมาณนี้

วันนี้เลยมานั่งสังเกตว่าองค์ประกอบอะไรบ้างที่ทำให้ภาพเกิดความเหงา
แล้วก็ทำให้คนอย่างฉันเกิดความดราม่าได้ขนาดนี้!!!
ก่อนอื่นเรามาลองเสริชหาภาพคำว่า Alone ใน Google กันก่อนดีกว่า...
(ง่ายไปมั้ย!?)


  
 

  

  


เอาประมาณนี้พอก่อนละกันนะ!
จากที่ดูๆแล้ว ก็พอจะมีจุดร่วมระหว่างภาพแนวนี้หลายๆจุด
คือภาพแนวที่ให้อารมณ์เหงาเศร้าดราม่าแบบนี้
อย่างที่รู้ๆกันว่าการจัดองค์ประกอบภาพต่างๆ
ล้วนแล้วแต่สามารถสร้างอารมณ์ได้ต่างๆกันไป

ภาพแนวนี้ก็คงจะมีกรอบ(ที่สามารถฉีกได้ในบางโอกาส)ในทางVisualที่คล้ายๆกัน
เริ่มจากอย่างแรกก็คือ

"สี"
สีที่ใช้ในภาพมักจะเป็นสีขาวดำ หรือไม่ก็เป็นสีแนวซีเปียออกโทนน้ำตาลเทา
แต่จะไม่มีสีสดใสแบบเหลืองแดงชมพูส้มเข้ามาสักเท่าไร
หรือถ้ามีก็จะเป็นตัวแทนที่ว่าคนๆนั้น .เคย. มีความสุข

"ลึก/ตื้น"
ภาพที่ใช้ในรูปภาพแนวนี้มักจะเป็นภาพเชิงลึก
โดยเฉพาะภาพของถนนที่ทอดยาวไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
ซึ่งสามารถแสดงให้เห็นถึงความหมายได้อย่างมากมาย
ทั้งความลึกในจิตใจของเขาที่ซ่อนเรื่องราวต่างๆที่ทำให้ต้องเศร้าใจไว้อยู่
หรืออาจสื่อถึงเส้นทางของชีวิตของเขาที่จะต้องเดินไปอย่างโดดเดี่ยวและไร้จุดมุ่งหมาย
การถูกครอบงำจากอะไรบางอย่างที่อยู่สองข้างถนน สิ่งไม่มีชีวิตที่ดูเหมือนว่ามีชีวิต
ซึ่งภาพเชิงลึกเป็นภาพที่มีมิตินอกจากมิติในการมองแล้ว ยังสร้างมิติในจิตใจของคนได้อีกด้วย

"Space"
ภาพเหล่านี้มักจะเป็นภาพที่มีSpaceค่อนข้างมาก
เพื่อให้แสดงถึงความโดดเดี่ยว การอยู่คนเดียว
และหมายถึงการไม่หลงเหลืออะไรในชีวิต
หรือมักจะมีการสร้างกรอบโดยในกรอบมีSpaceอยู่
เพื่อยิ่งสื่อความหมายของการถูกกักขังในความเหงาความเศร้าอย่างไม่มีทางออก

"Lighting"
มักจะมีการใช้แสงที่ทำให้เกิดContrastอย่างชัดเจน
หรือไม่ก็ทำให้บุคคลหรือวัตถุที่เราต้องการเน้นจุดสนใจเป็นSilhouette
เพื่อสื่อถึงภาวะในจิตใจของบุคคลในภาพ
ความไม่แน่นอน ความไม่มั่นใจ ความหมดหวังสิ้นหวัง
หรือความไม่รู้ว่าด้านไหนดีด้านไหนไม่ดี
ที่ทำให้คนดูรู้สึกหมดหนทางที่จะเดินไปต่อ

"Shape & Texture"
สิ่งของหรือวัตถุรอบตัวมักจะอยู่ในรูปแบบของ
ความเก่า ความสกปรก ความวุ่นวาย ความไม่เรียบร้อย
เพื่อแสดงให้เห็นถึงการมองสภาพแวดล้อมรอบตัวของเขา
ว่าทุกอย่างดูไม่น่าพิศมัยเอาซะเลย

"Movement"
Movement หรือการเคลื่อนไหวในภาพมักจะไม่ค่อยปรากฏ
ทุกอย่างดูเฉื่อยชา ทุกอย่างดูหยุดนิ่ง
ไม่มีการเคลื่อนไหวของอะไร
และไม่อยากจะเคลื่อนไหวอะไร
เพื่อสร้างอารมณ์ที่ไม่อยากจะทำอะไรในชีวิตอีกต่อไป
สร้างอารมณ์ของการพักผ่อนหมดเรี่ยวแรง

และนี่ก็คือทั้งหมดเท่าที่สังเกตออกมาได้
ก็คิดว่าจะสามารถนำไปใช้ในการทำงานได้อีกเยอะ
เพราะงานที่คิดส่วนมากของเราก็มักจะเป็นแนวดราม่าแบบนี้อยู่แล้ว
รู้ไว้ซะเวลาคิดช๊อตที่จะถ่ายจะได้มีกรอบมากยิ่งขึ้น
แต่บางครั้งถ้าเราคิดอะไรแปลกๆออก
ก็อาจจะสามารถนำไปใช้ได้นะ
ลองออกนอกกรอบเดิมๆดูในบางที
เพราะบางทีอาจจะดีกว่า หรือ แย่กว่าก็ไม่รู้
ก็ต้องลองคิดและลองทำดูก่อนสิ ! :')

...My Dramatic...

ภาพ...หลอก...ตา

ได้มีโอกาสเห็นงานภาพวาดภาพหนึ่งของ MC Escher
แล้วทำให้เกิดความสนใจขึ้นมา
คนอะไรทำไมถึงได้วาดภาพที่ผิดสัดส่วนออกมาได้สวยงามขนาดนี้
ดูผิดส่วน ดูวุ่นวาย แต่ดูแล้วมันมีอะไรที่ซ่อนอยู่ภายใน...

(Relativity, 1953.)

ชื่นชมในตัวศิลปินมากๆ
กับการวาดรูปที่ผสมทั้งความเป็นจริงสัดส่วนจริงๆ
ใส่ลงไปในพื้นที่ที่ผิดสัดส่วน
ทำให้เราอยากที่จะสนใจในรายละเอียดเล็กๆน้อยๆในภาพมากยิ่งขึ้น
เชื่อว่าหลายๆคนเคยนั่งลองเอามือลากตามเพื่อพยายามหาว่า...
จุดที่ทำให้ภาพมันผิดมันอยู่ตรงไหน
แต่ก็หาไม่เจอซักที :'(


มาเริ่มที่ประวัติเล็กๆน้อยของ MC Escher สักนิดก่อนดีกว่า
M.C. Escher หรือชื่อเต็มว่า Maurits Cornelis Escher เป็นจิตรกรชื่อดังชาวดัชท์
ซึ่งรูปภาพที่เขาวาดจะผสมผสานคณิตศาสตร์
ทางด้านเรขาคณิต รูปทรงมิติ ภาพลวงตา ลงไปด้วย



ง่ายๆก็คือเขาเป็นนักจิตรกรที่นำภาพเรขาคณิตมาสร้างให้เกิดภาพ

แล้วดัดแปลงเล็กน้อยให้เกิดเป็นภาพที่ผิดส่วน

จนกลายเป็นจุดเด่นของงานศิลปะของเขาไปเลย


ตัวอย่างงานศิลปะของเขา


มีคนเอาสองภาพนี้มาต่อเลโก้ด้วยนะ!

>w<"

จะเห็นได้ว่ามันมีความผิดส่วนของภาพในทุกๆรูป
จนกลายเป็นเอกลักษณ์ และอาจเป็นคำถามที่มีต่อรูปทรงเรขาคณิต
ว่ามันสามารถเปลี่ยนแปลงรูปร่างต่างๆไปได้ถึงขนาดไหน
เปลี่ยนไปเปลี่ยนมา จนกลายเป็น จินตนาการรูปแบบใหม่ๆ
ที่สร้างสรรค์ให้เกิดศิลปะชิ้นอื่นๆตามออกมาเรื่อยๆ

อีกภาพหนึ่งที่คิดว่ามีการใช้ Visual ในภาพเป็นอย่างมาก


ภาพนี้จะเห็นได้ว่าเป็นภาพที่ดูแล้วเกิดความรู้สึกขัดแย้งภายในใจ
เนื่องจากมีการใช้คอนทราสในภาพอย่างมากมาย
ทั้งๆที่ภาพวิวทิวทัศน์ควรจะเป็นภาพที่ทำให้ผู้ชมรู้สึกสบายใจสบายตา
แต่ภาพนี้กลับไม่ใช่...
คอนทราสที่อยู่ในภาพนี้มีปรากฏอยู่ในแทบจะทุกรายละเอียดเลยก็ว่าได้
เริ่มจากสีที่มีความคอนทราสของแสงที่ตกลงมาบนวัตถุ และ เงาที่เกิดขึ้น
ความลาดเอียงของเขาหิน กับ ทางเดินที่ราบเรียบ
ด้านหน้าเป็นต้นไม้ที่ดูอ่อนช้อยพร้อมจะโบกปลิวไปตามแรงลม กับ ความแข็งแกร่งของขุนเขา
ตึกที่มนุษย์สร้างขึ้นมีรูปแบบมีรูปทรงเรขาคณิตเป็นตัวกำหนด กับ ความไร้รูปแบบของก้อนเมฆ
แล้วยังมีอีกหลากหลายอย่าง
ที่ทำให้ภาพนี้เพียงภาพเดียวดูมีเรื่องราวภายในภาพเป็นอย่างมาก
และเหมือนว่าจิตรกรผู้วาดภาพต้องการจะเปรียบเทียบอะไรบางอย่างออกทางภาพนี้

ความจริงยังมีรูปภาพอีกมากมายของจิตรกรคนนี้
เข้าไปดูเวบไซด์หลักของเขาได้เลยนะ
http://www.mcescher.com/

วันศุกร์ที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

After Shock … ทำไมโลกถึงน่าหดหู่ได้ขนาดนี้


ความสูญเสียเกิดขึ้นได้ทุกเวลา
ไม่ใช่แค่ธรรมชาติที่ทำให้เราต้องสูญเสียสิ่งที่เรารักไป
แต่มนุษย์เองก็เป็นปัจจัยหนึ่งที่สร้างความสูญเสียให้กับตัวเอง

เป็นหนังที่มีหลากหลายแง่มุมในเรื่องของครอบครัว
ดูแล้วทำให้รู้สึกว่าความรักจากครอบครัวนั้นมันช่างยิ่งใหญ่จริงๆ
การสูญเสียครอบครัวไปจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่สร้างความเศร้าได้อย่างมากมาย
แต่ก็ยังไม่เศร้าเท่ากับการที่คนในครอบครัวทำให้ต้องเหินห่างจากกัน
อาจเพราะความไม่เข้าใจกััน หรือเหตุผลต่างๆนานา
แต่ถึงจะเพราะอะไรก็ตามก็ล้วนแล้วแต่สร้างความทุกข์ความเศร้าใจ
ให้กับทุกๆคนในครอบครัวทั้งสิ้น
ตัวละครที่เป็นแม่ได้พูดเอาไว้ว่า
"ถ้าไม่เคยสูญเสีย ก็คงจะไม่รู้สึกถึงความสูญเสียนั้น"
แต่สำหรับเราแล้ว อย่ามีการสูญเสียเลยดีกว่า
ใช้ชีวิตที่มีอยู่ปัจจุบันให้มีค่า
อย่าให้เราต้องมาเสียใจในวันที่มันสายไป
เพียงเพราะความไม่เข้าใจกันที่มาปิดกั้นความรักที่่มีอยู่รอบตัว
เพราะเราไม่อาจรู้ได้ว่า
"เราจะต้องสูญเสียใครไปในวันใด"

ชอบความรักของคนรุ่นแม่ๆกับการที่จะรักคนๆเดียว
ก็คือสามีหรือภรรยาของตนไปตลอดชีวิต
แม้รู้ว่าไม่มีเขาอยู่บนโลกใบนี้แล้วก็ตาม
ทั้งตัวแม่เอง และความรักของพ่อบุญธรรม
ดูเป็นความรักที่ยิ่งใหญ่ ซื่อสัตย์ และแสนจริงใจ

เนื้อเรื่องเล่าได้อย่างบีบคั้นอารมณ์อยู่ตลอดเวลา
ภาพแสดงให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงของทุกๆอย่างในเรื่อง
ทั้งในแง่ของตัวละคร สภาพบ้านเมือง สภาพสังคม
แต่ถึงแม้ทุกอย่างจะเปลี่ยนไปขนาดไหน
แต่ก็ยังมีสิ่งที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลงก็คือ...
ความรักที่แสนยิ่งใหญ่จากครอบครัว
และภาพเหตุการณ์อันโหดร้ายที่ฝังอยู่ภายในใจของตัวละคร




ถึงแม้ว่ากราฟฟิคต่างๆอาจยังทำไม่ค่อยดีนัก
ทำให้รู้สึกอารมณ์ติดขัดในฉากที่แผ่นดินไหวและตึกถล่ม
แต่สำหรับฉากอารมณ์...
เรื่องนี้เลือกที่จะใช้ภาพที่ออกไปในทางสีน้ำเงินเทาๆ
ที่ให้ความรู้สึกมัวหมองหมดหวัง
ทำให้ช่วยดึงอารมณ์ความเหงาความเศร้าออกมาจากตัวละครและเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
นอกจากนั้นยังมีภาพของความยุ่งเหยิงวุ่นวายของเส้น
ที่เกิดจากซากปรักหักพังของอาคารบ้านเรือน
บวกกับเม็ดฝนที่โปรยลงมาก็ยิ่งทำให้แผ่นดินไหวที่เกิดขึ้นดูน่าหดหูมากยิ่งขึ้นอีกด้วย